อเมทิสต์ (Amethyst) หินแห่งการบำบัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ชื่อของมันมาจาก ภาษากรีก ἀμέθυστος (amethystos) ที่แปลว่า ไม่มึนเมา อ้างอิงจากความเชื่อจากตำนานเรื่องเทพเจ้าดิโอนิซุส(อ่านตำนานและเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง) ชาวกรีกโบราณสวมอเมทิสต์ และแกะสลักเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่ม เพราะความเชื่อที่ว่ามันจะป้องกันไม่ให้ผู้ดื่มเมา
หินอเมทิสต์ ลาเวนเดอร์ หินจิตวิญญาณ
อเมทิสต์ (Amethyst) หินแห่งการบำบัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ชื่อของมันมาจาก ภาษากรีก ἀμέθυστος (amethystos) ที่แปลว่า ไม่มึนเมา อ้างอิงจากความเชื่อจากตำนานเรื่องเทพเจ้าดิโอนิซุส(อ่านตำนานและเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง) ชาวกรีกโบราณสวมอเมทิสต์ และแกะสลักเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่ม เพราะความเชื่อที่ว่ามันจะป้องกันไม่ให้ผู้ดื่มเมา
ในประเทศไทยจะเรียกอเมทิสต์ว่า "พลอยสีดอกตะแบก" รวมถึงอาจจะเรียกว่า "แก้วนางขวัญ" ที่เป็นชนิดของโป่งข่าม ตามความเชื่อของชาวล้านนา
เรื่องเล่าและประวัติที่เกี่ยวข้องกับอเมทิสต์
อเมทิสต์ถูกใช้เป็นอัญมณีตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณและถูกใช้เป็นรอยพิมพ์แกะ แกะสลักเป็นรูปหน้าของนักรบในสมัยโบราณ
ตำนานการเกิดของอเมทิสต์เล่าถึง เทพเจ้าไดโอนิซุส(Dionysus)(เทพเจ้าแบกคัส(Bacchus) ในตำนานของโรมัน)ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งไวน์และการเฉลิมฉลอง และเทพธิดาแห่งการล่าอาร์เทมิส(Artemis)(เทพธิดาไดอาน่า(Diana) ในตำนานของโรมัน) ไดโอนีซุสอยู่ในอารมณ์ไม่ดีเพราะถูกมนุษย์ดูถูกเขาจึงต้องการแก้แค้น เมื่อลงมาสู่โลกมนุษย์เขาสาบานว่าเขาจะฆ่ามนุษย์ทุกคนที่มาเจอกับเขา จากนั้นเขาก็วางกับดักชนิดหนึ่งโดยใช้เสือของเขาเพื่อทำงานนี้ ดังนั้นแน่นอนว่าหากมนุษย์ผู้ใดผ่านมาเส้นทางนี้จะพบกับดักของเขา ปรากฎว่า มนุษย์ที่ผ่านเส้นทางนี้เป็นหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งชื่อ อเมทิตอส(Amethytos)ซึ่งกำลังเดินผ่าน เพื่อที่จะส่งเครื่องบูชาเทพธิดาอาร์เทมิส อาร์ทิมิสไม่มีเวลามากพอที่จะช่วยชีวิตของหญิงสาวดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปผลึกบริสุทธิ์(ผลึกของควอตซ์)ทีละส่วนของร่างกายหญิงสาวที่ถูกเสือทำร้าย ซึ่งจะช่วยปกป้องเธอจากการโจมตีของเสือ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว เมื่อไดโอนิซุสได้เข้าไปดูที่ร่างของหญิงสาวและนึกถึงสิ่งที่เขาทำ จึงเริ่มสำนึกถึงความโหดร้ายของเค้า จึงเทน้ำองุ่นของเขาบนก้อนหินเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาให้เทพเจ้าอาร์เทมิส ในบางแหล่งข้อมูลก็บอกว่า น้ำที่ราดไปบนผลึกควอตซ์ใสเป็นน้ำตาของไดโอนิซุสที่เสียใจจากการกระทำของเค้า และน้ำตาของเค้าเป็นน้ำตาแห่งไวน์ เขาร้องไห้จนน้ำตาของเขาไหลไปทั่วรูปปั้นควอตซ์ของหญิงสาว จึงเปลี่ยนสีรูปปั้นให้กลายเป็นสีม่วง
อเมทิสต์ทั้งหมดนั้นมีต้นกำเนิดมาจากรูปปั้นของอเมทิโตส เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับเทพดิโอนิซุสจึงมีการกล่าวว่า อเมทิสต์ช่วยปกป้องผู้สวมใส่จากอาการเมาเหล้า ซึ่งทำให้มีการแกะสลักอเมทิสต์เป็นแก้วไวน์ เพื่อป้องกันการเมาเหล้าของผู้ที่ดื่มไวน์ด้วยแก้วนี้
นอกจากตำนานการเกิดอเมทิสต์ในเทพนิยายกรีกที่เป็นเรื่องระหว่างเทพเจ้าดิโอนิซุสกับเทพเจ้าอาร์ทิมิสแล้ว ยังมีข้อมูลในเอกสารประวัติศาสตร์ของกรีกว่า มารดาแห่งเทพทั้งปวง "รีอา(Rhea)"(ลูกของมารดาแห่งโลกกายยาและเทพเจ้าแห่งท้องฟ้ายูเรนัส) ได้ให้ของขวัญแก่เทพดิโอนิซุส เป็นหินอเมทิสต์ เพื่อใช้ป้องกันการมึนเมาจากการดื่มไวน์
ชาวกรีกเชื่อว่าอเมทิสต์เป็นอัญมณีที่สามารถป้องกันไม่ให้มึนเมา ขณะที่ทหารในยุโรปจะใส่สร้อยคออเมทิสต์ โดยมีความเชื่อที่ว่า จะช่วยรักษาบาดแผลและทำให้ไม่รู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล ลูกปัดของอเมทิสต์ถูกพบในหลุมฝังศพของชนเผ่าโบราณในเกาะ
จีโอดของอเมทิสต์ ขนาดใหญ่หรือ "amethyst-grotto" มาจาก Santa Cruz ในภาคใต้ของบราซิล โดยถูกนำมาเสนอในงานนิทรรศการในเมือง Düsseldorf ประเทศเยอรมันนีในปี 1902
สีม่วงถือได้ว่าเป็นสีสำหรับกษัตริย์ เป็นสีที่แสดงถึงความสูงศักดิ์และเป็นสีที่ใช้สำหรับราชวงศ์ ดังนั้นทำให้อเมทิสต์ อัญมณีสีม่วงกลายเป็นเครื่องประดับของพระมหากษัตริย์ จึงมักจะเห็นอเมทิสต์บนเครื่องประดับของราชวงศ์ ต่างๆในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่สร้อยประดับพระศอของฟาโรห์อียิปต์ และมงกุฏของราชวงศ์อังกฤษ พระนางแคทเธอรีนที่ยิ่งใหญ่แห่งรัสเซียก็ทรงโปรดปรานพลอยอเมทิสต์
เป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจและความมั่นคงทางจิตใจ และเป็นตัวแทนของการรักษาพรหมจรรย์ ในยุโรปยุคกลางจึงนิยมนำอเมทิสต์มาใช้ประดับตกแต่งในโบสถ์วิหารของศาสนา คริสต์ บาทหลวงและนักบวชในยุคนั้นก็นิยมสวมแหวนที่ประดับด้วยพลอยอเมทิสต์ และยังได้รับความนิยมในกลุ่มทางศาสนาเพราะเชื่อว่าช่วยดลบันดาลให้เกิดความเที่ยงธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ
อเมทิสต์ ตามธรรมชาติ มีตั้งแต่สีม่วงอ่อนจนเกือบไร้สีจนถึงสีม่วงเข้ม เนื้อพลอยมีตั้งแต่ใสสะอาดจนถึงขุ่นทึบ อเมทิสต์ที่ถือว่ามีคุณภาพสวยต้องมีสีสดเข้ม เสมอทั้งเม็ด เนื้อใสสะอาดมองไม่เห็นตำหนิด้วยตาเปล่า เจียระไนรูปร่างสมส่วนมีประกายดี ซึ่งอเมทิสต์ คุณภาพดี สีเข้ม สวยสด เนื้อใสสะอาด ขนาดใหญ่หาได้ไม่ยาก แหล่งกำเนิดของอเมทิสต์ ที่มีคุณภาพสูงคือ บราซิล แอฟริกา นามิเบีย อุรุกวัย
ถ้าหากนำอเมทิสต์มาเผาด้วยความร้อนสูงจะทำให้เปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล หรือสีเหลืองอมส้ม ซึ่งจะเรียกว่า ซิทรีน (Citrine)ปัจจุบัน มีการนำผลึกพลอยทั้งสองสี มาตัดให้ได้สีอย่างละครึ่ง ก็จะได้อัญมณีสีม่วงทองสวยงามจากธรรมชาติ เรียกกันว่า Ametrine ซึ่งชื่อก็มาจาก Amethyst + Citrine นั่นเองครับเรามักจะพบเห็นภาพผลึกพลอยที่เป็นโพรงใหญ่ๆ หรือที่เรียกว่า จีโอด ส่วนใหญ่มักจะเป็นอเมทิสต์นี่ละครับ
การพิจารณาเลือกซื้ออเมทิสต์ ปัจจัยอันดับแรกคือ คุณภาพสี สีที่ดีที่สุดจะต้องมีสีม่วงเข้มสด คุณภาพรองลงมาคือ สีม่วงปานกลาง ม่วงอ่อน และสุดท้ายคือ สีม่วงดำ พิจารณาความสม่ำเสมอของสี ว่ามีสีทั่วทั้งเม็ดหรือไม่ไม่ควรมีสีเป็นหย่อมๆ อย่างเห็นได้ชัด
คุณภาพความสะอาด อเมทิสต์ที่ม่ีคุณภาพเนื้อดีมากจะไม่พบเห็นตำหนิใดๆเลย แม้จะมองด้วยแว่นขยาย 10 เท่า อเมทิสต์ที่เนื้อดูขุ่นตันถือว่าคุณภาพต่ำ
ปัจจัยความสมส่วนของรูปทรง ความประณีตในการเจียระไนเหลี่ยมมุมและการชักเงา ซึ่งมีผลต่อประกายไฟและความสวยงาม
อเมทิสต์เป็นหินกึ่งมีค่าและ เป็นอัญมณีสำหรับผู้ที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์
เนื่องจากชื่อที่แปลว่า ไม่มีวันเมา ทำให้มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า อเมทิสต์สามารถทำให้ผู้ที่สวมใส่ไม่เกิดอาการมึนเมา นอกจากนั้นยังทำให้จิตใจสงบสุข ถ้านำไปวางไว้ใต้หมอนจะทำให้นอนหลับสนิทตลอดคืน อเมทิสต์จะนำโชคลาภมาสู่ผู้ครอบครองและผู้สวมใส่ ทำให้เกิดความมุ่งมั่น ป้องกันเวทมนตร์ด้านมืด ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีสมาธิ มีไหวพริบปฏิภาณ
เชื่อว่าอเมทิสต์สามารถทำให้สมองด้านขวาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการปวดหัว และสร้างความสมดุลให้กับระดับน้ำตาลในเลือด