หินมรกต(Emerald) "หินแห่งความสมหวังในความรัก"
ในสมัยอียิปต์โบราณมรกตถือเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ ผลึกมรกตหรือสิ่งที่มีสีใกล้เคียงมรกต ถูกนำมาใช้ในเป็นสร้อยเครื่องรางสำหรับการแกะสลักตำรา และบทสวดมนต์จากพระคัมภีร์แห่งความตาย(The Book of The Dead) เพื่อวางไว้บนร่างของศพเพื่อฝังศพ นอกจากนี้ ยังวางมรกตไว้บนคอของมัมมี่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความวัยเยาว์ชั่วนิรันดร์ โดยหวังว่าผู้ตายจะมีความสุขในชีวิตหลังความตาย
บทที่ 159 ของคัมภีร์แห่งความตายบอกว่า ผลึกมรกตที่ถูกวางไว้บนศพของผู้ตาย เชื่อกันว่า จะถูกใช้เป็นของขวัญให้กับ เทพเจ้าธอร์ธ(Thoth) ตลอดจนสามารถปกป้องแขนขาของผู้ตาย
เฮอเมส ทรีสเมกิสตอส(Hermes Trismegistos) จอมเวทย์ชาวอียิปต์ในศตวรรษแรกได้รับการกล่าวขานถึงคำจารึกบนแผ่นมรกตบริสุทธิ์ที่ถือเป็นกุญแจแห่งเวทมนตร์ :“เพราะอยู่เหนือ จึงต่ำกว่า” ด้วยเหตุนี้ มรกตจึงได้มีการยึดถือว่าเป็นหินวิเศษ ที่ได้รับพลังแห่งจักรวาล อาณาจักรของโลก เพื่อนำความคิดและความปรารถนามาสู่ความเป็นจริง
ในฐานะที่เป็นผลึกที่เปิดเผยความจริง มรกตถูกใช้ในการปกป้องผู้สวมใส่จากมนต์เสน่ห์ที่เกิดจากการใช้เวทมนตร์และคาถา มันถือเป็นอัญมณีแห่งการมองเห็น เสริมความจำ เพิ่มความฉลาดและทำให้ผู้สวมใส่มีลางสังหรณ์อนาคตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าวางไว้บนลิ้น หรือสวมใส่ที่ฝั่งซ้ายของร่างกาย ตามตำนานของมรกต ใันจะแสดงให้เห็นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น หลุดออก แตกหรือเปลี่ยนเฉดสี เพื่อเตือนผู้สวมใส่ถึงอันตรายหรือความเจ็บป่วยที่จะมาเยือน ในช่วงยุคกลาง มรกตเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ขึ้นชื่อว่า ช่วยเปิดเผยความจริงหรือความเท็จของคำสาบานของคู่รัก ช่วยรักษาความบริสุทธิ์ของหญิงสาว แต่จะใช้ไม่ได้ผลกับผู้ชาย
อริสโตเติล ซึ่งเป็นนักสะสมอัญมณี เขียนถึงมรกตว่า การเป็นเจ้าของมรกตช่วยเพิ่มความสำคัญของการมีตัวตนท่ามกลางผู้คน และการพูดในระหว่างการทำธุรกิจ ให้ความสำเร็จในการทดลองและช่วยในการตัดสินคดี
มรกตมักมีความสัมพันธ์กับสายตาและดวงตา ในเรื่องเล่าของหลายอารยธรรม ทั้งช่วยในการผ่อนคลายสายตา และเชื่อว่ามันรักษาโรคของดวงตา เครื่องประดับระดับสูงของชาวอียิปต์ใช้มันเพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็น ชาวกรีกและชาวโรมันติดมรกตเล็ก ๆ ไว้ที่มุมดวงตาของผู้ที่สายตาสั้นหรือสายตายาว มรกตที่มีสีสว่างและโปร่งใสถูกขัดเงา และใช้เป็นแว่นขยาย และพัฒนาเป็นแว่นตัวแรก จักรพรรดิ์เนโร่(Emperor Nero)เป็นที่รู้จักกันดีในการใช้แว่นมรกตในการดูถึงความสามารถของนักสู้สมัยโบราณ
จักรราศีของชาวกรีกและโรมันโบราณ ได้จัดให้มรกตเป็นตัวแทนของเดือนมิถุนายน ที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของราศีรูปปู นอกจากนี้ พวกเขายังเชื่อว่า มรกตถูกควบคุมโดยดาวศุกร์ด้วยพลังแห่งการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ อย่างไรก็ตามในวัฒนธรรมตะวันออก มรกตมักถูกกำหนดให้เป็นดาวพุธเนื่องจากมีสติปัญญาและคารมคมคาย บางคนอ้างว่าดาวพฤหัสบดีเป็นอิทธิพลของมัน
ในประวัติศาสตร์ของชาวยิว มรกตได้ถูกระบุไว้ในคำภีร์เอ็กโซดัส(Exodus) ว่าเป็นหินก้อนที่สี่ในเกราะของนักบวชชั้นสูง แม้ว่าต้นฉบับดั้งเดิมของคำภีร์จะแปล คำว่า สมารัคดอส(Smaragdos) = บาเรเกต(Bareketh) คือ มรกต ซึ่งเป็นหินก้อนที่สามบนเกราะของนักบวชชั้นสูง ที่ถูกจารึกไว้ โดยเผ่าลีวายส์(Levi) นอกจากนี้ ตำนานเกี่ยวกับมรกตว่า เป็นหนึ่งในสี่อัญมณีที่พระเจ้ามอบให้กับกษัตริย์โซโลมอน เพื่อที่จะได้มีพลังเหนือทุกสรรพสิ่ง
ในประวัติศาสตร์ของชาวคริสเตียน มรกตได้ถูกบันทึกไว้โดยนักบวชเซนต์จอห์นผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเยาว์วัยและความอ่อนโยน ในหนังสือแห่งพันธสัญญา (Revelations in the New Testament) เขาเปรียบเทียบรุ้งรอบบัลลังก์ของพระเจ้า ว่า มีสีและลักษณะเหมือนมรกต สำหรับชาวคริสเตียน มรกตเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพ ของการเกิดใหม่ และ ชีวิตที่บริสุทธิ์
ในสมัยโบราณ ต้องสวมแหวนมรกต เพื่อป้องกันความมึนงงและเสริมความจำ เชื่อกันว่าจะกำจัดความกลัวปีศาจ, ผีหลอก, ความเขลา และความโกรธ, กล่าวกันว่าดีต่อดวงตา, ช่วยผู้หญิงในการคลอดบุตร, และขับวิญญาณชั่วออกไป มรกตได้รับการพิจารณาว่าเป็นยาแก้พิษ จากการถูกกัดและใช้เป็นยาแก้โรคทุกชนิด โดยเฉพาะโรคบิด นักบันทึกประวัติศาสตร์ชาวโรมันชื่อ พลินี เล่าถึงประเพณีของชาวฮีบรูโบราณ ว่า ถ้างูจับจ้องมองมรกตมันจะตาบอด
นอกจากนี้ พลินียังเล่าถึงรูปสิงโตแกะสลักด้วยหินอ่อน ที่มีดวงตามรกต วางไว้บนหลุมฝังศพของกษัตริย์เฮอร์เมียส (King Hermias)บนเกาะไซเปรส ซึ่งอยู่บนชายฝั่ง และหันหน้าไปทางทะเล ซึ่งดวงตาสีมรกตเหล่านี้มีความสามารถพิเศษอย่างมาก การส่องแสงของมันออกไปทางทะเลจนทำให้ปลาตกใจ ว่ายห่างออกจากฝั่งไปมาก ทำให้ชาวประมงในบริเวณดังกล่าวจับปลาไม่ได้ จึงได้เอาหินสีเขียวชนิดอื่นมาใส่แทน และทำให้ปลากลับมา
ตามที่จอมเวทย์ชาวโรมัน ดามิเกรอน(Damigeron) ช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช, ได้แนะนำให้แกะสลักมรกตเป็นรูปแมลงปีกแข็งแบบชาวอียิปต์ และมีรูปยืนของเทพธิดาไอซิสอยู่ข้างใต้ และควรจะเจาะตามยาวและสวมใส่เป็นเข็มกลัดเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึง "รัศมีภาพของหินที่พระเจ้ามอบให้"
ในหนังสือชื่อ Magick of Kiram ที่เขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เก็บไว้ในวาติกันในกรุงโรมแนะนำให้ แกะสลักมรกตเป็นรูปนก(Harpe ฺBird) ที่มีเหาฉลาม(Sea Lamprey) อยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อสวมใส่จะช่วยป้องกันการรบกวน ความเพ้อฝันและความโง่เขลา รักษาอาการวิกลจริตและผู้ที่ทุกข์ทรมานจากอาการจุกเสียด
"จอกศักดิ์สิทธิ์(San Graal)" ที่มีชื่อเสียงในสมัยของกษัตริย์อาเธอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นถ้วยมหัศจรรย์ที่ทำจากมรกตอันมีค่า ถูกส่งมาจากสวรรค์และกอปรด้วยพลังที่ขาวสะอาด ช่วยยืดอายุและทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ถ้วยนี้เชื่อกันว่าถูกนำมาจากมือของพระเจ้าโดยตรงจากทูตสวรรค์และเป็นถ้วยที่พระคริสต์ทรงดื่มจากพระกระยาหารมื้อสุดท้าย
ในช่วงเวลาแห่งการพิชิตอาณาจักรแอซแทกของสเปน มรกตขนาดมหึมาเท่าไข่นกกระจอกเทศได้รับความเคารพจากชาวเปรูในเมืองมานตา เปรียบดั่งเป็น “เทพธิดาแห่งมรกต” ชื่อ อูมีย่า(Umiña) จัดแสดงเฉพาะในโอกาสพิเศษ ชาวอินเดียแดงจะไปที่ศาลเพื่อนำของกำนัลมามอบให้กับเทพธิดา โดยส่วนใหญ่จะเป็นมรกต โดยเชื่อว่า มรกตที่พบหลังจากนั้นเป็นลูกหลานของเทพธิดาซึ่งการเอามรกตไปไว้ที่ศาลเพื่อบูชาเทพธิดา จะทำให้เทพธิดาปิติยินดี อย่างไรก็ตามมรกตที่ถูกสะสมไว้นี้ได้ถูกยึดโดยทหารสเปนที่ได้รับชัยชนะในเวลาต่อมา มีเพียงก้อนมรกตก้อนใหญ่เท่านั้นที่ทหารสเปนไม่สามารถเอาไปได้
ตามตำนานกล่าวว่า เฮอร์นันโด คอร์เตส ผู้พิชิตเม็กซิโกพยายามกลับบ้านด้วยมรกตขนาดใหญ่ที่เขานำมาจากชาวแอซแทก อย่างไรก็ตามหนึ่งในเรือของเขากลายเป็นเรืออับปาง ทำให้ต้องสูญมรกตขนาดใหญ่ที่หายากไป
มรกต เป็นอัญมณีประจำฤดูใบไม้ผลิตามประเพณี และเป็นของขวัญในโอกาสครบรอบแต่งงาน 55 ปี
่ถูกเรียกว่า “หินแห่งความสมหวังในความรัก” ช่วยเปิดและบำรุงความรู้สึกของหัวใจ เป็นหินแห่งจักระหัวใจ มีพลังงานที่ผ่อนคลาย ให้การรักษาในทุกระดับของชีวิต นำความสดชื่นและความมีชีวิตชีวาให้กับจิตใจ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และความอดทน ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคี ความเห็นอกเห็นใจและความรักที่ไม่มีเงื่อนไข นอกจากนี้ยังส่งเสริมมิตรภาพและความสมดุลระหว่างมิตร มีชื่อเสียงการให้ความสุข ความพึงพอใจและความภักดี เป็นหินที่ใช้เพื่อนำมาถวายให้เทพวีนัสในสมัยโบราณ เพื่อช่วยในการประกันความปลอดภัยในความรัก
มรกตมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนสามารถต่อสู้กับความชรา เมื่อวางไว้อย่างเหมาะสมสามารถช่วยห้อวัยวะที่เหนื่อยล้ากลับมาทำงานอีกครั้ง เป็นผู้รักษาที่แข็งแกร่งของหัวใจ
คุณสมบัติการรักษา มีประโยชน์ในการรักษาปอด, ตับ, ถุงน้ำดี, ตับอ่อนและไต เช่นเดียวกับกระดูกสันหลังและระบบกล้ามเนื้อ มันช่วยให้หายจากโรคติดเชื้อ นอกจากนี้พลังงานสีเขียวที่ทรงพลังสามารถช่วยรักษาโรคร้ายได้